เปิดประวัติ ลุงพล ผู้ต้องสงสัยคนดัง จากคดี น้องชมพู่

ลุงพล วันที่ 20 ธันวาคม 2566 จากคดีมหากาพย์ที่สังคมให้ความสนใจมาอย่างยาวนาน สำหรับกรณีน้องชมพู่ ด.ญ.วัย 3 ขวบ เสียชีวิตปริศนาอยู่บนเขาเหล็กไฟ จ.มุกดาหาร เมื่อปี 2563

ชื่อของ “ลุงพล” กลับมาเป็นที่สนใจในสังคมอีกครั้งอีกครั้งในขณะนี้ หลังจากศาลจังหวัดมุกดาหาร อ่านคำพิพากษาสั่งจำคุก นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล 20 ปี จากฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดา มารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี และยกฟ้อง นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ภรรยาของนายไชย์พล

โดยศาลได้ให้ประกันตัว ลุงพล หลักทรัพย์ 5 แสนบาท ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก 20 ปี จำเลยคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ หลานสาววัย 3 ขวบ

ประวัติ ลุงพล

ลุงพล มีชื่อจริงว่า นายไชย์พล วิภา เกิดวันที่ 17 สิงหาคม 2519 (อายุ 47 ปี) มีภรรยาชื่อ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป๋าแต๋น มีบุตรด้วยกัน 2 คน โดยภูมิลำเนาเป็นคน ต.หนองแวงใต้ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ก่อนจะมีเป็นที่รู้จักของสังคม ประกอบอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป และเคยเป็นตัวแทนธุรกิจขายตรง

จากคดีดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่หลากหลายในโลกโซเชียล ทำให้ลุงพลได้ออกสื่อต่าง ๆ ทั้งวงการบันเทิง รับงานโฆษณา, รีวิว, ถ่ายแบบ รับงานร้องเพลงคู่ และเล่น MV ที่เป็นไวรัลในโลกโซเชียล อย่างเพลง “เต่างอย” รับงานคู่กับป้าแต๋น ภรรยาของลุงพลเอง อีกทั้งยังมีช่อง YouTube ชื่อว่า “ลุงพลป้าแต๋น แฟมิลี่” โดยมีผู้ติดตามกว่า 358 K

ไทม์ไลน์การหายตัวไปของน้องชมพู่

คดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปไทม์ไลน์การหายตัวไปของน้องชมพู่ ว่าเกิดหายตัวในช่วงเวลา 09.11-09.49 น. วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 มีเวลาก่อเหตุเพียง 38 นาที จากนั้นพบศพน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟ ในเวลา 19.00 น.

วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 สภาพถูกถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้เหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีดหรือของมีคม สับ ฟัน เถือ ตัด ที่เส้นผมของศพน้องชมพู่ โดยแพทย์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตในช่วงวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2563 จากการขาดน้ำขาดอาหาร ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่พบบาดแผลที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้

ต่อมา พล.ต.อ.สุวัฒน์แถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 สรุปว่า น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพได้ด้วยตนเอง แต่มีคนร้ายพาไป

เมื่อรวบรวมหลักฐานจนสมบูรณ์ ก็พบข้อเท็จจริง 3 ประเด็น ได้แก่ 1.การกระทำของคนร้ายในคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกล ๆ เพื่อเป็นการอำพรางคดี ซึ่งเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ หากปล่อยให้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ จะสามารถชี้ยืนยันตัวเองว่าเป็นผู้กระทำผิดดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องมีการอำพรางคดีเพื่อให้ความผิดพ้นตัว

2.ช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวของน้องชมพู่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่เลย ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที

3.บริเวณจุดพบศพบนภูเหล็กไฟ พบรองเท้า รถแบ๊กโฮของเล่นตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้ว ของเล่นหรือรองเท้าจะไม่ติดตัวน้องชมพู่ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน

ทั้ง 3 ประเด็นนี้ มีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า นายไชย์พลเป็นบุคคลที่พาตัวน้องชมพู่ไปจากบ้านที่เกิดเหตุเพื่อเดินทางไปรับ-ส่งพระด้วยกัน ระหว่างเดินทางไปนั้นได้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถพาน้องชมพู่ไปด้วยได้ จึงนำตัวน้องชมพู่ ซึ่งเชื่อว่าหมดสติ ไปซุกซ่อนไว้บริเวณป่าท้ายหมู่บ้าน แล้วจึงเดินทางไปรับพระ

เมื่อพบกับพระจึงเล่าเรื่องราวน้องชมพู่หายให้พระฟังในทันทีทันใด ทั้งที่ยังไม่มีผู้ใดทราบเหตุดังกล่าว เมื่อเสร็จธุระ นายไชย์พลจึงย้อนกลับมาพบว่าน้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต จึงนำตัวน้องชมพู่ขึ้นไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟ จนกระทั่งน้องชมพู่เสียชีวิต จากการขาดน้ำ และขาดอาหารในเวลาต่อมา

จากนั้นได้เข้าจัดการกับสภาพศพโดยถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้มีลักษณะเหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีด หรือของมีคมด้านเดียว สับ ฟัน เถือ ตัด ไปที่บริเวณเส้นผมของศพน้องชมพู่ นำไปประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามความเชื่อของตน เป็นการปิดบังความผิด

หลักฐาน-ข้อพิรุธมัด

สําหรับสาเหตุที่ทำให้น้องชมพู่ถึงแก่ชีวิตนั้น เชื่อว่ามาจากพฤติกรรมที่เป็นคนโมโหร้าย โดยเฉพาะกับเด็ก มักเป็นคนขี้รำคาญหากเด็กร้องงอแงหรือไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งพบว่ามีกรณีตัวอย่างเกิดกับเด็กรายอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ต้องหา มักถูกดุด่าและเฆี่ยนตีบ่อย ๆ

สำหรับกรณีน้องชมพู่นั้น เชื่อว่าในวันเกิดเหตุผู้ต้องหามาพบน้องชมพู่ที่บ้านแล้วชักชวนออกไปเที่ยวเล่น ระหว่างทางเมื่อไปถึงบริเวณป่าที่ห่างออกไปจากบ้าน 900 เมตร คาดว่าน้องชมพู่จะร้องไห้ตกใจ เนื่องจากเป็นเด็กที่กลัวป่า ทำให้ผู้ต้องหาโมโห อาจดุด่าทำร้ายน้องชมพู่อย่างพลั้งเผลอ

โดยผลการตรวจพิสูจน์ของแพทย์นิติเวช พบร่องรอยชี้ว่าเด็กร้องไห้ตกใจมาก และเป็นไปได้ที่จะถูกอุดปาก คาดว่าคงใช้มือปิดปากจนเด็กแน่นิ่งไป แล้วจึงนำร่างนั้นไปทิ้งไว้ภายในป่า สอดรับกับการที่สุนัขดมกลิ่นของตำรวจได้พบกลิ่นของน้องชมพู่ที่ป่าห่างจากบริเวณบ้านประมาณ 900 เมตรดังกล่าว

คาดว่าภายหลังลุงพลน่าจะย้อนกลับมาบริเวณที่ทิ้งร่างเด็กเอาไว้ แต่ไม่พบเด็ก เนื่องจากน้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต สอดรับกับการตรวจพิสูจน์ที่พบว่า น้องชมพู่มีรอยช้ำที่ฝ่าเท้า น่าจะเกิดจากการเดินเท้าเป็นระยะทางไกล

เป็นไปได้มากว่าเมื่อน้องชมพู่ฟื้น ก็พยายามเดินจนหลงเข้าไปในป่า และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำหรับหลักฐานชิ้นสำคัญ ได้แก่ ผลการเก็บพยานหลักฐานภายในรถของลุงพล ที่ตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์จนมั่นใจว่าเป็นชิ้นส่วนที่มาจากศพของน้องชมพู่

นอกจากนี้ เส้นผมที่ถูกหั่นหรือตัด ในบริเวณที่พบศพของน้องชมพู่ พบว่ามีบางเส้นที่เป็นของคนใกล้ชิดลุงพล ที่ติดตัวลุงพลขึ้นไปนั่นเอง

ทั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนพบพิรุธของลุงพลตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การที่อ้างว่ารู้การหายตัวไปของน้องชมพู่ก่อนคนอื่น เพราะป้าแต๋นโทร.บอก แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์ของลุงพลนำไปขายก่อนหน้านี้ แล้วใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวกับป้าแต๋น จึงเป็นไปไม่ได้ว่าป้าแต๋นจะโทร.บอก และเมื่อสอบถามอีกครั้งก็อ้างว่าจำไม่ได้ จึงเป็นข้อสงสัยที่ทำให้เจ้าหน้าที่จับตามอง จนมีหลักฐานชัดเจนออกหมายจับมาดำเนินคดี

ขอขอบคุณบทความจาก : ลุงพล